
“ธีระ เอื้ออภิธร” ส่งออกมันไปจีนผลิตอาหารสัตว์รุ่ง
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2562 ส่งผลให้ความต้องการมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการใช้เพื่อผลิตแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความต้องการมากขึ้น สำหรับตลาดส่งออกมันสำปะหลังหลักของไทยยังเป็นตลาดจีน กว่า 90% และด้วยเหตุที่ผลผลิตในประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้
จึงทำให้ราคามันสำปะหลังเป็นพืชที่มีราคาสูงเกินกว่าราคาประกัน จนรัฐบาลไม่ต้องจ่ายชดเชยโครงการประกันรายได้ ส่วนแนวโน้มการส่งออกปี 2566 “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายธีระ เอื้ออภิธร นายกสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตลาดส่งออกมันในจีน
ตลาดส่งออกหลักของมันเส้นไทยยังเป็นตลาดจีน เชื่อว่าการส่งออกปีนี้จะเท่าปีที่ผ่านมาที่ 6.5 ล้านตัน เทียบกับก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิด-19 ไทยส่งออกมันเส้นประมาณ 4 ล้านตัน เติบโตมากขึ้น ขณะที่แป้งมันก็คาดว่าจะมีปริมาณเทียบเท่าปีที่ผ่านมาที่ 4.9 ล้านตัน
“จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้จีนมีความต้องการมันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์ จึงมีการนำเข้ามากขึ้น ก็เป็นอานิสงส์ทำให้ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับปีที่แล้วทางเอกชนเราได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ได้เจรจาเปิดตลาดอาหารสัตว์ในจีน ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จทำให้ไทยส่งออกมันอัดเม็ดไปในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ได้ 1 ล้านตัน ปีก็น่าจะส่งออกได้ต่อเนื่อง”
แนวโน้มจีนยังมีความต้องการนำเข้ามันจากไทย ขณะนี้ราคาในส่วนแอลกอฮอล์ในจีนปัจจุบันเฉลี่ย 7,000 หยวนต่อตันจากก่อนโควิดเฉลี่ย 4,000 หยวนต่อตัน จากความต้องการมากขึ้นดันให้ราคาตลาดสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อความต้องการเพิ่ม ราคาดี ก็จะทำให้ราคามันสำปะหลังของไทยดีด้วยเช่นกัน ปีนี้ปัญหาราคามันจึงไม่น่าห่วง
รุกตลาดอาหารสัตว์
ที่สำคัญ เรายังได้เปิดเจรจาขยายตลาดส่งออกไปในตลาดอื่นเพิ่มเติม เช่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความสนใจที่จะนำเข้ามันสำปะหลังจากไทย แต่ด้วยติดปัญหาผลผลิตน้อยอาจจะไม่สามารถส่งออกได้เพียงพอ ทำให้ผู้ส่งออกต้องรอดูสถานการณ์ รวมไปถึงปัญหาค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าเร็ว ตอนนี้อยู่ที่ 33 บาทกว่าต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย
“ตลาดซาอุฯก็เป็นตลาดใหม่ที่มีความสนใจที่จะนำเข้าโดยเฉพาะทำอาหารสัตว์ เพราะเลี้ยงอูฐเยอะและต้องการสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งสามารถหาได้จากมันสำปะหลัง ทั้งเรายังมีผลวิจัยรองรับว่ามันสำปะหลังเมื่อนำไปทำเป็นอาหารสัตว์มีประโยชน์ ลดการป่วยของสัตว์ สัตว์มีการเจริญเติบโต ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ดี ที่ผ่านมาจึงทำให้ไทยเปิดตลาดอาหารสัตว์ได้”
ผลผลิตมันปี’66
สถานการณ์ผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2565/2566 จากการติดตามคาดว่าผลผลิตจะลดลง จากที่เรามีการประเมินไปก่อนหน้านี้ประมาณ 34.9 ล้านตัน โดยจะลดลงจากนี้ 30-40% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาฝนตกเยอะ ทำให้เกษตรกรต้องขุดออกมาขาย เพราะหากไม่ขุด โอกาสที่มันจะเน่าก็สูง เชื้อแป้งก็จะต่ำด้วย ประกอบกับช่วงนี้ราคารับซื้อดี ยิ่งทำให้เกษตรกรยิ่งเร่งขุด
แต่มันสำหลังที่ขุดมาก่อนก็เป็นมันอ่อน อายุประมาณ 6 เดือน จากอายุมันที่ควรขุดออกมาขายควรจะมีอายุ 10-12 เดือน รวมไปถึงปีนี้ผลผลิตต่อไร่ก็ต่ำด้วยจากเดิม 3.4-4.0 ตันต่อไร่ แต่ตอนนี้อยู่ที่ 2 ตันต่อไร่
“ช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังจะออกสู่ตลาดมาก ๆ ในทุกปี ระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะลดลง เห็นได้จากตอนนี้หน้าโรงงานจะมีมันเข้ามาประมาณ 20,000 ตันต่อวัน จากปกติแล้วช่วงที่มันออกสู่ตลาดมาก ๆ จะมีมันเข้าโรงงานประมาณ 40,000-50,000 ตันต่อวัน สำหรับหัวมันสด”
ส่วนความต้องการใช้มันสำปะหลังในตลาดต่อปีอยู่ที่ 47 ล้านตัน ซึ่งประเทศไทยผลิตไม่เพียงพอก็ต้องนำเข้าจากเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งทั้งสองประเทศนี้จะให้ผลผลิตออกช่วงเดียวกับของประเทศไทย จึงมีการนำเข้าผ่านชายแดน ส่วนใหญ่ผ่านจังหวัดอุบลฯ สุรินทร์ และศรีสะเกษ แต่นำเข้าได้ไม่กี่ด่านเพื่อการตรวจสอบคุณภาพของมันที่นำเข้าด้วย
ราคามันทะลุ 3 บาท/กก.
ราคามันสำปะหลังในปีนี้ ยังเป็นราคาที่สดใสสำหรับเกษตรกร โดยราคารับซื้อปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 3 บาทกว่าต่อกิโลกรัม ในเชื้อแป้งอยู่ที่ 25-30% หากเกษตรกรนำมันอ่อนมาขาย ราคาก็จะตกเพราะเชื้อแป้งไม่ได้ ซึ่งเชื้อแป้งจะอยู่ที่ 18-20% ส่วนต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกรตอนนี้เฉลี่ยที่ 2.30-2.50 บาทต่อกิโลกรัม จากค่าแรง ค่าน้ำมัน ปุ๋ยแพงขึ้น แต่ด้วยความต้องการเพิ่มขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของงบฯโควิด-19 ทำให้ราคามันดี เกษตรกรจึงขายได้ราคา
“โครงการประกันรายได้มันสำปะหลังที่ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคารับซื้อดี ปีที่ผ่านมาเกินกว่าประกัน รัฐบาลไม่ได้จ่ายเงินส่วนต่างในโครงการแต่อย่างใด และเชื่อว่าราคามันปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน คาดว่าจะสดใสตลอดทั้งปี เทียบกับราคาข้าวโพดอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม”
วอนรัฐช่วยเหลือ
ด้านการตลาดและราคามันสำปะหลังปีนี้ เป็นปีที่สดใสและมีแนวโน้มดี ดังนั้นต้องการให้รัฐเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนการสำรวจโรคใบด่าง เพราะมองว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ปัจจุบันมีการสำรวจว่ามีกระจายในหลายพื้นที่ และหวั่นว่าหน้าร้อนปีนี้จะกลับมาแพร่กระจายอีกครั้ง รณรงค์การปลูกมันสะอาด ไม่เอามันที่ติดโรคมาปลูก แจกท่อนพันธุ์ ส่งเสริมงานวิจัย เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมไปถึงด้านการตลาด หาตลาดใหม่ ๆ
พร้อมกันนี้ก็ติดตามและเข้มงวดในการลักลอบนำเข้ามันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะนำเข้ามาในรูปแบบกองทัพมด ก็ต้องเข้มงวดมากขึ้น ดูแลมันที่ได้คุณภาพทั้งในประเทศ และมันที่นำเข้า ปัจจุบันหน่วยงานที่ดูแลก็ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกมันไทย
“เชื่อว่าปีนี้เกษตรกรขายมันได้ราคาตลอดทั้งปี การส่งออกขยายตัวจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่เพื่อที่จะให้การส่งออกดี ทุกฝ่ายต้องควบคุมดูแลคุณภาพ เพื่อการส่งออกที่เติบโต”
ที่มา :
“จุรินทร์”เผย 3 ฝ่าย นัดประชุมร่วม ถกแก้ปมราคาอาหารสัตว์พุ่ง 23 มี.ค.นี้

“จุรินทร์”เผย 3 ฝ่าย รัฐ เกษตรกร ผู้ประกอบการ นัดประชุม 23 มี.ค.นี้ หาทางออกผลกระทบราคาอาหารสัตว์ ยึดหลักทุกฝ่ายอยู่ได้ หลังต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง ทั้งข้าวโพดและข้าวสาลี เตรียมเคลียร์ปมมาตรการ 3 ต่อ 1 จะเอายังไง ก่อนชงคณะกรรมการที่ดูแลไฟเขียว และเข้า ครม. แย้มมาตรการ 3 ต่อ 1 ปรับแน่ สัดส่วนเท่าใด ต้องคุยก่อน พร้อมกำหนดปริมาณนำเข้า
สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย บอยคอต ลาประชุมผ่อนปรนมาตรการ นำเข้าข้าวสาลี 3:1 “พรศิลป์” นายสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย บอยคอต ลาประชุมผ่อนปรนมาตรการนำเข้าข้าวสาลี 3:1 กรมการค้าภายใน แจ้งเลื่อนประชุมไม่มีกำหนด


“จุรินทร์” เร่งประชุมร่วม 3 ฝ่าย ลดผลกระทบราคาอาหารสัตว์พุ่ง จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เน้นทุกฝ่ายอยู่ได้ ย้ำราคาสินค้าสำคัญ 18 หมวดยังไม่ขึ้น
จุรินทร์ เร่งประชุมร่วม 3 ฝ่าย ลดผลกระทบราคาอาหารสัตว์พุ่ง
“จุรินทร์” เร่งประชุมร่วม 3 ฝ่าย ลดผลกระทบราคาอาหารสัตว์พุ่ง จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เน้นทุกฝ่ายอยู่ได้ ย้ำราคาสินค้าสำคัญ 18 หมวดยังไม่ขึ้น
วันที่ 22 มีนาคม 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำหรับปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตนเร่งให้ประชุมทุกฝ่าย วันพรุ่งนี้ (23 มี.ค. 2565) เพื่อหาข้อสรุปและแนวทางแก้ไขร่วมกัน
โดยผู้เข้าร่วมมีทั้งส่วนราชการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการคลัง หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรมี 2 ส่วน 1.ชาวไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง 2.ปศุสัตว์ ที่มีผลกระทบเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์สูง ทำให้ราคาเนื้อสัตว์มีต้นทุนสูงขึ้น และผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องหารือให้มีข้อยุติร่วมกัน
เพราะต้นทุนอาหารสัตว์ขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนสำคัญ 1.ราคาข้าวโพดที่สูงขึ้นขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 10 กว่าบาท จากกิโลกรัมละ 6-8 บาท และที่สำคัญข้าวสาลีราคาสูงขึ้นมากในตลาดโลก เพราะผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ของโลกคือ ยูเครนกระทบมาก ทำให้ต้นทุนนำเข้าข้าวสาลีสูงขึ้นมาก ต้องมาดูว่ามาตรการเดิมที่กำหนดช่วยชาวไร่ข้าวโพดไว้ที่นำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วนต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน
หรือมาตรการ 1:3 ในสถานการณ์นี้ยังมีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งมีความเห็นผ่อนมาตรการนี้เป็นการชั่วคราวเพื่อไม่ให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นจนเกินไปและกระทบราคาเนื้อสัตว์ต่าง ๆ แต่ยังมีความเห็นไม่สอดคล้องจึงต้องคุยกันให้จบ เพื่อไม่แก้ปัญหาหนึ่งแล้วไปสร้างอีกปัญหาหนึ่ง ก่อนเสนอเข้าให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณา และเสนอเข้า ครม. ดำเนินการต่อไป
ขณะนี้ที่การกำกับราคาสินค้า ยังอยู่ในระดับที่ดี คือราคาสินค้าหลายตัวที่จำเป็นต่อการอุปโภค-บริโภค ยังทรงอยู่ทั้ง 18 หมวดโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ยังไม่ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น หมูเนื้อแดงเฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 151 บาท ล่าสุดเมื่อวาน (21 มี.ค. 2565) ไข่ไก่เบอร์ 3 ฟองละ 3.50-3.60 บาท มะนาวราคาเฉลี่ยทั้งประเทศลูกละ 5 บาท เนื่องจากเข้าหน้าแล้ง จะเป็นทุกครั้งและมาเจอกับพายุเมื่อไม่กี่วันทำให้ลูกร่วงเป็นประเด็นปัญหาทำให้มะนาวในตลาดลดน้อยลง เป็นช่วงระยะเวลาที่เป็นกรณีเฉพาะ ไม่ใช่ถาวร
สำหรับต้นทุนราคาสินค้าขึ้นอยู่กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นต้นเหตุของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก เกี่ยวพันถึงต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ทั้งหมด ในเรื่องการนำเข้าวัตถุดิบทั้งอาหารสัตว์ ปุ๋ยสูงตามขึ้นไปทั้งหมด ไม่เกิดเฉพาะบ้านเรา
“เราพยายามจะคลี่คลายตามสิ่งที่เราทำได้เต็มที่และพยายามดูมาตรการผ่อนคลายให้ทั้ง 3 ฝ่าย เกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้บริโภคอยู่ด้วยกันได้ภายใต้ภาวะการสงครามที่เกิดขึ้น ถ้าสงครามคลี่คลายตนคิดว่าทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น”
ที่มา : ข่าวประชาชาติธุระกิจ