Company Logo





พยากรณ์อากาศ

ส่งออกมันสำปะหลังปี’56โตได้.. แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องคำนึงถึง...




บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์เรื่อง การส่งออกมันสำปะหลัง ของไทยในปี 2556 โดยระบุว่ามูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังของไทย จะขยายตัวร้อยละ14.0-18.0 (YoY) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200-1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 11.9 ในปี 2555 โดยประเมินว่า จีนจะยังคงเป็นตลาดส่งออกหลักของมันสำปะหลังไทย(โดยเฉพาะมันเส้น) อย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่าในปี 2555 ที่อยู่ที่ 1,074 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 98 ของมูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังทั้งหมดของไทย และไทยสามารถครองมูลค่าส่วนแบ่งตลาดในจีนได้ถึงร้อยละ 68.9 ของมูลค่าการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมดของจีน

ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกมันสำปะหลังของไทยในปี 2556 ให้ขยายตัวได้ประกอบด้วย 1.ความต้องการใช้มันสำปะหลังของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชีย ทำให้การส่งออกของจีนปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนโดยผ่านการบริโภคภายในประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 2556 จะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลต่อความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังไทยที่เพิ่มขึ้น

และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทนของจีน ตามแผนการพัฒนาประจำปี 2554-2559 ของจีน กำหนดให้มันสำปะหลังเป็นสินค้าสำคัญในแผนและเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญอันดับแรก เนื่องด้วยมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักของการผลิตเอทานอล และผลจากการที่ภาครัฐของจีนประกาศปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อให้ราคาขายสะท้อนใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ทั้งในส่วนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี)ทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตเอทานอลเป็นพลังงานทดแทนมีมากขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ จีนยังนำมันสำปะหลังไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม

แป้งและการผลิตบะหมี่โดยเฉพาะที่มณฑลหูเป่ย (นครเทียนจิน) ซึ่งเป็นฐานการผลิตบะหมี่ใหญ่ที่สุดในจีน ทั้งนี้ ยอดการใช้

มันสำปะหลังของมณฑลหูเป่ยราว 8 แสนตันขณะที่นำเข้าจากไทยเพียง 5-6 หมื่นตันต่อปี จึงถือเป็นโอกาสทางการค้ามันสำปะหลังช่องทางใหม่ที่สำคัญของไทย

และนอกจากปัจจัยหนุนจากจีนแล้ว ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญ ที่ช่วยหนุนการส่งออกมันสำปะหลังของไทยด้วย เช่น ปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าปริมาณมันสำปะหลังส่งออกมีโอกาสเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 11-15 จาก 4.7 ล้านตันในปี 2555 มาที่ประมาณ 5.2-5.4 ล้านตันในปี 2556 ขณะที่คาดว่า ราคาส่งออกมันสำปะหลังของไทย น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 2555 (ที่มีค่าเฉลี่ยราว 240.1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน สำหรับมันเส้น และราว 436.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับแป้งมัน) และอาจมีโอกาสปรับขึ้นได้บ้างบางจังหวะ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมการส่งออกมันสำปะหลังของไทยในปี 2556 จะมีแนวโน้มขยายตัวตามการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก แต่อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยยังเผชิญความท้าทายและจำเป็นต้องปรับตัว

ทั้งนี้ผู้ส่งออกไทยควรกระจายตลาดเพื่อลดการพึ่งพิงการส่งออกไปจีน ซึ่งสามารถผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น หลังจากที่จีนเริ่มกระจายแหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยหันไปนำเข้ามันเส้นเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา และไนจีเรีย ทำให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไปขณะเดียวกัน นโยบายของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในการส่งเสริมอุตสาหกรรมมันสำปะหลังโดยเฉพาะเวียดนาม มีการพัฒนาในเรื่องของคุณภาพด้าน “มันเส้นสะอาด” มากกว่ามันเส้นไทย และกลายเป็นประเด็นสำคัญในช่วง 1-2 ปีนี้ ถึงแม้ว่า ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามยังไม่สามารถผลิตมันเส้นเพียงพอต่อความต้องการใช้ในตลาดจีนได้ นอกจากนี้กัมพูชาก็เป็นประเทศคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาดจีนที่น่าจับตามอง

นอกจากนี้ มาตรการการนำเข้าของจีน เป็นสิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากในระยะหลังจีนเริ่มนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อปกป้องการผลิตในประเทศ และควบคุมปริมาณการนำเข้า?อาทิ มาตรฐานสิ่งแวดล้อม (ฝุ่น สิ่งปลอมปนการลดโลกร้อน) มาตรฐานสุขอนามัยเป็นต้น ดังนั้น ในระยะต่อไป ภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศควรหาแนวทางร่วมกัน เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตมันสำปะหลังเส้นให้มีคุณภาพดีขนาดชิ้นของมันเส้นใหญ่ขึ้น และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการส่งออกมันสำปะหลังเส้น เพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นระหว่างการขนถ่ายสินค้า อันจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบท่าเรือ

และที่สำคัญต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่รูปแบบการใช้ประโยชน์จากมันสำปะหลังในปัจจุบันยังเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเบื้องต้น โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยา เคมีภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ พอลิเมอร์ ที่มีสมบัติดูดซึมของเหลวสำหรับใช้งานด้านอนามัยทางการแพทย์ เป็นต้น อันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันสำปะหลังได้ตั้งแต่ “ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ” ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการปรับตัวของเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวนในทิศทางแข็งค่าได้ในระดับหนึ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การรักษาคุณภาพด้านความสะอาดของมันเส้นเป็นประเด็นที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศได้ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังเช่นตลาดส่งออกหลักของไทยอย่างจีนที่เริ่มกระจายแหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ดังนั้นผู้ส่งออกไทยควรกระจายตลาดเพื่อลดการพึ่งพิงการส่งออกไปจีน ซึ่งอาจแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ขณะที่ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้กับผลผลิตมันสำปะหลังตั้งแต่ “ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ” ถือเป็นกุญแจไขความสำเร็จของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยที่สำคัญ เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลังในอนาคตที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า 
จันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556






Powered by Allweb Technology.