​“พาณิชย์”เผยตลาดส่งออกมันสำปะหลังมีแนวโน้มสดใส หลังจีนต้องการซื้อเพิ่ม

 

 

กรมการค้าต่างประเทศเผยตลาดจีนต้องการมันสำปะหลังไปผลิตแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น หลังข้าวโพดที่เป็นสินค้าทดแทนมีปริมาณลดลง ส่งผลให้ราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น เตรียมคุมเข้มคุณภาพ ทั้งการนำเข้าและการส่งออก พร้อมจับตาพฤติกรรมขายตัดราคา  
         
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนมีความต้องการมันสำปะหลังไปผลิตแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปริมาณสต๊อกข้าวโพด ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนมันสำปะหลังที่สำคัญของจีน มีปริมาณลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ส่งผลให้ราคาแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากข้าวโพดสูงขึ้น แอลกอฮอล์ที่ผลิตจากมันสำปะหลังจึงแข่งขันได้มากขึ้น และโรงงานที่ผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น
         
ทั้งนี้ ผลจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาวัตถุดิบมันสำปะหลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยปัจจุบันราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง F.O.B. เกาะสีชัง เฉลี่ย 270 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 18.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 228 เหรียญสหรัฐต่อตัน

นายกีรติกล่าวว่า แม้ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ จะเพิ่มความเข้มงวดการกำกับดูแลการนำเข้าส่งออก โดยด้านการนำเข้า ได้เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้าให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะพักทะเบียนผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ตรวจพบว่ามีความชื้น สิ่งเจือปนสูงทันที

ส่วนด้านการส่งออกจะเพิ่มความเข้มงวดการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ส่งออก รวมถึงเข้มงวดผู้ส่งออกที่มีพฤติกรรมเสนอขายต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งจะช่วยให้ราคามันสำปะหลังของไทยทั้งระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดมาก และยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่าประเทศผู้ซื้อจะไม่ใช้ประเด็นคุณภาพมาตรฐานเป็นข้ออ้างในการกดราคารับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาจำหน่ายมันสำปะหลังที่เกษตรกรได้รับ

สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วง 10 เดือนปี 2563 (ม.ค.-ต.ค.) ไทยส่งออกปริมาณรวม 5.949 ล้านตัน มูลค่า 2,194.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณเพิ่มขึ้น 2.08% มูลค่าลดลง 2.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ส่งออกปริมาณรวม 5.828 ล้านตัน มูลค่า 2,261.39 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์